การประชุมรัฐมนตรีสภาไตรภาคี ยางพารา (International TripartiteRubber
Council : ITRC) และบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด (IRCo)
ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 12
ธันวาคมที่ผ่านมาจบลงอย่างชื่นมื่นโดยได้ข้อสรุปที่จะปฏิบัติงานร่วมกันเป็น
ไปในทิศทางที่ดีและมีแนวโน้มสดใส
นอกจากจะได้แนวทางรักษาระดับราคา ยางพารา ไม่ให้ตกต่ำลงแล้ว
ยังมีแผนที่จะเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติมากขึ้นพร้อมเพิ่มมูลค่าสินค้า
อันจะนำไปสู่การสร้างเสถียรภาพราคายางในระยะยาว
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ผลการประชุมสภาไตรภาคี ยางพารา ระดับรัฐมนตรีระหว่างประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย มีความเกี่ยวเนื่องกับมาตรการที่ดำเนินการอยู่และมาตรการในอนาคต เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่าภายในปี 2556 ให้ประเทศสมาชิกระดมทุนเพื่อใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงานและบริหารจัดการ IRCo จำนวน 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นสัดส่วนของไทยประมาณ 3.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เหลือเป็นสัดส่วนของอินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ขณะเดียวกันยังเห็นชอบให้ขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านการผลิต การตลาดและอุตสาหกรรมยางพาราไปสู่ประเทศสมาชิกอาเซียน อาทิ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ซึ่งสนใจที่จะเข้าร่วมเครือข่าย ทั้งยังมุ่งผลักดันเครือข่ายสู่กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี (AEC) ด้วย นอกจากนี้ ยังเห็นชอบในแผนการจัดตั้งตลาด ยางพารา และเครื่อจักรเกี่ยวกับ เครื่องรีดยาง ของภูมิภาคอาเซียน (Regional Rubber Market) ซึ่งจะเป็นตัวแทนของผู้ขาย และมีการซื้อขายยางแบบส่งมอบจริงในราคาเป็นธรรม
อีกทั้งยังได้ประเมินผลว่าด้วยมาตรการจำกัดการส่งออกยาง เป้าหมาย 300,000 ตัน เพื่อลดปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติออกสู่ตลาดตามข้อตกลงของ ITRC จากความร่วมมือของทั้ง 3 ประเทศ ที่ได้ดำเนินการมาแล้วในอดีต มีผลทำให้ราคายางพาราอยู่ได้ในระดับราคา 3 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม สามารถช่วยพยุงราคายางไม่ให้ตกต่ำลงได้ โดยราคาซื้อขายภายในประเทศอยู่ที่ ประมาณ 75-85 บาทต่อกิโลกรัม ถ้าราคายางทรุดตัวลงอีก ทั้งไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ก็พร้อมประชุมระดับเจ้าหน้าที่เพื่อใช้มาตรการจำกัดโควตาส่งออกเพิ่มขึ้น เป็น 500,000-700,000 ตัน และมาตรการอื่นเพิ่มเติมเข้าไปอีก เพื่อแก้ไขปัญหาช่วยเหลือเกษตรกรของประเทศสมาชิก
นอกจากนั้น ที่ประชุมยังเห็นชอบในมาตรการส่งเสริมการใช้ยางธรรมชาติภายในประเทศเพิ่มมาก ขึ้นในแต่ละประเทศ ตามขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของประเทศตน และรับที่จะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันด้วย โดยไทยได้นำเสนอว่า ควรมีการส่งเสริมให้นำ ยางพารา มาผสมกับยางมะตอยในการทำถนนแทนการใช้ยางแอสฟัล ติกส์ ซึ่งจะทำให้ได้ถนนที่มีคุณภาพ มีความทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น สามารถช่วยประหยัดงบประมาณภาครัฐในการซ่อมบำรุงถนนได้ค่อนข้างมาก
อนาคตถ้ามีการทำถนน ยางพารา อย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยพยุงและผลักดันราคายางให้ขยับตัวสูงขึ้น และส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราด้วย.
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ผลการประชุมสภาไตรภาคี ยางพารา ระดับรัฐมนตรีระหว่างประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย มีความเกี่ยวเนื่องกับมาตรการที่ดำเนินการอยู่และมาตรการในอนาคต เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่าภายในปี 2556 ให้ประเทศสมาชิกระดมทุนเพื่อใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงานและบริหารจัดการ IRCo จำนวน 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นสัดส่วนของไทยประมาณ 3.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เหลือเป็นสัดส่วนของอินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ขณะเดียวกันยังเห็นชอบให้ขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านการผลิต การตลาดและอุตสาหกรรมยางพาราไปสู่ประเทศสมาชิกอาเซียน อาทิ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ซึ่งสนใจที่จะเข้าร่วมเครือข่าย ทั้งยังมุ่งผลักดันเครือข่ายสู่กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี (AEC) ด้วย นอกจากนี้ ยังเห็นชอบในแผนการจัดตั้งตลาด ยางพารา และเครื่อจักรเกี่ยวกับ เครื่องรีดยาง ของภูมิภาคอาเซียน (Regional Rubber Market) ซึ่งจะเป็นตัวแทนของผู้ขาย และมีการซื้อขายยางแบบส่งมอบจริงในราคาเป็นธรรม
อีกทั้งยังได้ประเมินผลว่าด้วยมาตรการจำกัดการส่งออกยาง เป้าหมาย 300,000 ตัน เพื่อลดปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติออกสู่ตลาดตามข้อตกลงของ ITRC จากความร่วมมือของทั้ง 3 ประเทศ ที่ได้ดำเนินการมาแล้วในอดีต มีผลทำให้ราคายางพาราอยู่ได้ในระดับราคา 3 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม สามารถช่วยพยุงราคายางไม่ให้ตกต่ำลงได้ โดยราคาซื้อขายภายในประเทศอยู่ที่ ประมาณ 75-85 บาทต่อกิโลกรัม ถ้าราคายางทรุดตัวลงอีก ทั้งไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ก็พร้อมประชุมระดับเจ้าหน้าที่เพื่อใช้มาตรการจำกัดโควตาส่งออกเพิ่มขึ้น เป็น 500,000-700,000 ตัน และมาตรการอื่นเพิ่มเติมเข้าไปอีก เพื่อแก้ไขปัญหาช่วยเหลือเกษตรกรของประเทศสมาชิก
นอกจากนั้น ที่ประชุมยังเห็นชอบในมาตรการส่งเสริมการใช้ยางธรรมชาติภายในประเทศเพิ่มมาก ขึ้นในแต่ละประเทศ ตามขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของประเทศตน และรับที่จะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันด้วย โดยไทยได้นำเสนอว่า ควรมีการส่งเสริมให้นำ ยางพารา มาผสมกับยางมะตอยในการทำถนนแทนการใช้ยางแอสฟัล ติกส์ ซึ่งจะทำให้ได้ถนนที่มีคุณภาพ มีความทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น สามารถช่วยประหยัดงบประมาณภาครัฐในการซ่อมบำรุงถนนได้ค่อนข้างมาก
อนาคตถ้ามีการทำถนน ยางพารา อย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยพยุงและผลักดันราคายางให้ขยับตัวสูงขึ้น และส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราด้วย.