เครื่องเลื่อย || เครื่องรีดยางพาราเครื่องรีดยาง, เครื่องรีดยางพารา, เครื่องรีดยางเครป, เครื่องรีดยางแผ่น, เครื่องทำยางเครป

เครื่องเลื่อย

เครื่องเลื่อยกล  (Sawing  Machine)


การเลื่อย  คือ  การตัดชิ้นงานออกด้วยใบเลื่อยที่มีคมเล็ก ๆ หลาย ๆ คม  คล้ายคมสิ่วหรือคมสกัดจำนวนมาก  เรียงกันเป็นแถว  ฟันใบเลื่อยจะกัดชิ้นงานพร้อม ๆ กันทีละหลายฟันให้เป็นร่อง  จนขาดออกจากัน
การเลื่อย  จำแนกเป็นการเลื่อยด้วยมือ  (Hand  Sawing)  คือเป็นงานเลื่อยชิ้นงานจำนวนไม่มาก  และเลื่อยด้วยเลื่อยไฟฟ้า  (Power  Hack  Saw)  หรือเรียกว่า  เครื่องเลื่อยกล  (Sawing  Machine)  จำเป็นสำหรับงานเลื่อยชิ้นงานอุตสาหกรรม  คือเลื่อยชิ้นงานจำนวนมาก  ทั้งชิ้นงานขนาดเล็กและขนาดใหญ่  เครื่องเลื่อยกลแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
 เครื่องเลื่อยกลแบ่งออกเป็น  4  ชนิด  คือ
1.       เครื่องเลื่อยชัก  (Power  Hack Saw)
2.       เครื่องเลื่อยสายพานนอน  (Horizontal  Band Saw)
3.       เครื่องเลื่อยสายพานตั้ง  (Vertical Band Saw)
4.       เครื่องเลื่อยวงเดือน (Radius Saw or Circular Saw)
 1.       เครื่องเลื่อยชัก  (Power  Hack Saw)
เครื่องเลื่อยแบบชักเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่อหลายในการเลื่อยตัดวัสดุงานให้ได้ขนาดและความยาวตามความต้องการ  ระบบการขับเคลื่อนใบเลื่อย  ใช้ส่งกำลังด้วยมอเตอร์  แล้ว ใช้เฟืองเป็นตัวกลับทิศทางและใช้หลักการของข้อเหวี่ยงเป็นตัวขับเคลื่อนให้ ใบเลื่อยเคลื่อนที่กลับไปกลับมาในแนวเส้นตรงอย่างต่อเนื่องทำให้ใบเลื่อย สามารถตัดงานได้
 1.1    ส่วนประกอบของเครื่องเลื่อยชัก 
ส่วนประกอบทุกส่วนมีความสำคัญเท่ากัน เพราะจะต้องทำหน้าที่ร่วมกันตลอดเวลา
ซึ่งประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
1.1.1          โครงเลื่อย  (Saw  Frame)  มีลักษณะเหมือนตัวยูคว่ำ  โครงเลื่อยส่วนใหญ่ทำจากเหล็กหล่ออย่างดีใช้สำหรับใส่ใบเลื่อย  โครงเลื่อยจะเคลื่อนที่ไป มาอยู่ในร่องหางเหยี่ยวโดยการส่งกำลังจากล้อเฟือง  ดังรูปที่  1.2
1.1.2          ปากกาจับงาน  (Vise)  ใช้จับชิ้นงานเพื่อทำการเลื่อย สามารถปรับปรุงเอียงขวา-ซ้าย  ได้ข้างละ  45  องศา  และสามารถเลื่อนปากเข้า-ออกได้ด้วยเกลียวแขนหมุนล็อคแน่น 
 1.1.3          แขนตั้งระยะงาน  (Cut  Off  Gage)  มีหน้าที่ในการตั้งระยะของชิ้นงานที่ต้องการตัดจำนวนมาก ๆ  เพื่อให้ชิ้นงานที่ตัดออกมามีความยาวเท่ากันทุกชิ้น  ดังรูปที่  1.4
 1.1.4          ระบบป้อนตัด  เครื่องเลื่อยชักมีระบบป้อนตัด 2  ชนิด  คือ  ชนิดใช้ลูกถ่วงน้ำหนัก  และชนิดใช้น้ำมันไฮดรอลิกทั้ง  2  ชนิด  ทำหน้าที่เหมือนกันคือการป้อนตัด  แต่หลักการทำงานต่างกันตรงที่ชนิดลูกถ่วงน้ำหนักอาศัยแรงดึงดูดของโลก  ส่วนชนิดไฮดรอลิกอาศัยแรงดันจากน้ำมันไฮดรอลิก
1.1.5          ระบบหล่อเย็น  เครื่องเลื่อยชักมีความจำเป็นต้องใช้น้ำหล่อเย็น  เพื่อช่วยระบายความร้อนเนื่องจากการเสียดสีระหว่างใบเลื่อยกับชิ้นงาน  และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของใบเลื่อยให้ยาวนาน
1.1.6          ฐานเครื่องเลื่อยชัก  (Base)  ทำหน้าที่รองรับส่วนต่าง ๆ ของเครื่องเลื่อยชักทั้งหมด  ฐานเครื่องเลื่อยชักบางชนิดจะทำเป็นโพรงภายใน  เพื่อเป็นที่เก็บถังน้ำหล่อเย็นและมอเตอร์
1.1.7          มอเตอร์  (Motor)  เครื่องเลื่อยชักมีมอเตอร์ทำหน้าที่เป็นต้นกำลังขับมอเตอร์จะใช้กับกระแสไฟฟ้า  220  โวลต์หรือ  380  โวลต์ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต
1.1.8          สวิตซ์เปิด-ปิด  เครื่องเลื่อยชักมีสวิตช์เปิด-ปิด  แบบกึ่งอัตโนมัติ  คือ  สวิตซ์เครื่องจะปิดโดยอัตโนมัติเมื่อใบเลื่อยตัดชิ้นงานขาด
1.1.9          ชุดเฟืองทด  (Gear)  ทำหน้าที่ในการทดส่งกำลังจากมอเตอร์ไปยังโครงเลื่อยเฟืองทดที่ใช้กับเครื่องเลื่อยชักมี  2  ชนิด  คือ  เฟืองเฉียง  และเฟืองตรง
1.1.10      มู่ลี่  (Pulley)  ทำหน้าที่ส่งกำลังผ่านสายพานไปยังชุดเฟืองทด  ใช้กับสายพานตัววี
 1.2    กลไกการทำงานของเครื่องเลื่อยชัก 
กลไกการทำงานของเครื่องเลื่อยชัก  เป็นกลไกส่งกำลังด้วยมอเตอร์  ส่งกำลังผ่านเฟืองขับ  ซึ่งเป็นเฟืองทด  เพื่อทดความเร็วรอบมอเตอร์  และเพื่อทดแรงขับของมอเตอร์  ที่ข้างเฟืองขับ  มีจุดหมุนก้านต่ออยู่คนละศูนย์กับศูนย์กลางเฟือง  เพื่อต่อก้านต่อไปขับโครงเลื่อย  ให้ชักโครงเลื่อยเดินหน้าและถอยหลังได้
 1.3    น้ำหนักกดโครงเลื่อย 
สำหรับน้ำหนักกดโครงเลื่อย  ยิ่งเลื่อนห่างออกจากหัวเครื่องมากเท่าใด  จะกดให้ใบเลื่อยตัดเฉือนมากเท่านั้น  ดังนั้น  การเลื่อนปรับระยะน้ำหนักกด  ให้สังเกตการตัดเฉือนของฟังเลื่อยด้วย
น้ำหนักกดใกล้หัวเครื่อง  =  น้ำหนักกดโครงเลื่อยน้อย
น้ำหนักกดห่างหัวเครื่อง  =  น้ำหนักกดโครงเลื่อยมาก
  1.4    ใบเลื่อยเครื่อง  (Saw Blade) 
ใบเลื่อยเป็นอุปกรณ์ของเครื่องเลื่อยที่มีความสำคัญมาก  ทำหน้าที่ตัดเฉือนชิ้นงาน  ใบเลื่อยเครื่องทำจากเหล็กรอบสูง  มีความเข็งแต่เปราะ  ดังนั้นการประกอบใบเลื่อยเข้ากับโครงเลื่อย  จะต้องประกอบให้ถูกวิธีและขันสกรูให้ใบเลื่อยตึงพอประมาณ  เพื่อป้องกันไม่ให้ใบเลื่อยหัก  ส่วนต่าง ๆ ของใบเลื่อยประกอบด้วยความกว้าง ความยาว  ความหนา  ความโตของรูใบเลื่อย  และจำนวนฟันใบเลื่อย  ซึ่งมีทั้งฟันหยาบและฟันละเอียด  จำนวนฟันใยเลื่อยบอกเป็นจำนวนฟันต่อนิ้ว  เช่น  10  ฟังต่อนิ้ว  14  ฟันต่อนิ้ว  แต่ที่นิยมใช้งานทั่ว ๆ ไป คือ 10 ฟันต่อนิ้ว   
 ลักษณะของใบเลื่อย
1.       ความยาวของใบเลื่อย   การวัดความยาวของใบเลื่อยจะวัดจากจุดศูนย์กลางของรูยึดใบเลื่อยทั้งสอง  เรียกว่าขนาดความยาวของใบเลื่อยจะมีขนาด  200  ม.ม.  และขนาด  300 ม.ม.
2.       ความกว้างของใบเลื่อย  กว้าง  12.7  ม.ม.  หรือ  1/2  นิ้ว
3.       ความหนาของใบเลื่อย  หนา  0.64  ม.ม.  หรือ  0.025  นิ้ว
4.       การวัดจำนวนฟันของใบเลื่อย  คือ  วัดระยะห่างของยอดฟันหนึ่งถึงยอดฟันหนึ่ง
-          ในระบบเมตริก  เรียกว่าระยะพิต  Pitch  (P)
-          ในระบบอังกฤษ จะวัดขนาดความถี่ห่างของฟันเลื่อยนิยมบอกเป็นจำนวนฟันต่อความยาว 1 นิ้ว
2  การเลือกใบเลื่อยให้เหมาะกับงาน

 1.5    มุมฟันเลื่อย 
ฟันเลื่อยแต่ละฟันมีลักษณะคล้ายกับลิ่ม  ทำหน้าที่จิกเข้าไปในเนื้อวัสดุ  ฟันแต่ละฟันประกอบด้วยมุมที่สำคัญ  3  มุม  ได้แก่
-          มุมคมตัด  (b)  เป็นมุมคมตัดของฟันเลื่อย
-          มุมคายเศษ  (g)  เป็นมุมที่ใช้ดันเศษโลหะออกจากฟันเลื่อย
-          มุมหลบ  (a)  เป็นมุมที่ทำให้ลดการเสียดสีระหว่างฟันเลื่อยกับชิ้นงาน  และช่วยให้เกิดมุมคมตัด
 3  มุมรวมกัน
 .9  มุมฟันเลื่อย
1.6    คลองเลื่อย  (Free  Cutting  Action) 
คลองเลื่อย คือ  ความกว้างของร่องบนวัสดุงาน  หลังจากที่มีการตัดเฉือน  ปกติคลองเลื่อยจะมีขนาดความหนามากกว่าใบเลื่อย  ทั้งนี้  ถ้าไม่มีคลองเลื่อย  ขณะทำการเลื่อยใบเลื่อยก็จะติด  ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใบเลื่อยหัก
 ลักษณะของคลองเลื่อย
1.       คลองเลื่อยฟันสลับ  ลักษณะฟันเลื่อยจะสลับซ้ายกับขวาตลอดใบเลื่อย  ฟันเลื่อยลักษณะนี้เหมาะสำหรับใช้กับเครื่องเลื่อยกล
 2.       คลองเลื่อยแบบฟันคลื่น  ลักษณะฟันเลื่อยจะเลื้อยเป็นคลื่น  ฟันเลื่อยลักษณะนี้เหมาะสำหรับใช้งานกับเลื่อยมือ
 3.       คลองเลื่อยแบบตอก  ลักษณะฟันเลื่อยจะมีมุมฟรีทั้งสองข้าง  ฟันเลื่อยลักษณะนี้เหมาะสำหรับใช้งานกับเลื่อยวงเดือน
    ทิศทางการตัดเฉือน 
การทำงานของคมเลื่อยประกอบด้วยทิศทางที่สำคัญ  2  ทิศ  ได้แก่  ทิศทางการกดลงและทิศทางการดันไป  ดูตามลูกศร  ทิศทางทั้ง  2  เป็นตัวทำให้เกิดการตัดเฉือนขึ้น  แรงที่กระทำการกดและการดันจะต้องสัมพันธ์กัน  ถ้าแรงใดมากเกินไปหรือฝืนอาจจะทำให้ใบเลื่อยหักได้
1.8    การประกอบใบเลื่อยเข้าโครงเลื่อย
การประกอบใบเลื่อยเข้ากับโครงเลื่อยต้องระวังทิศทางของฟันเลื่อย  จะต้องใส่ให้ถูกทิศทางเนื่องจากจังหวะถอยกลับของโครงเลื่อย  จะเป็นจังหวะที่ทำการตัดเฉือน  เพื่อตัดเฉือนชิ้นงานการประกอบใบเลื่อยต้องผ่อนตัวดึงใบเลื่อยให้ยื่นออกแล้วใส่ใบเลื่อยเข้าไปให้รูของใบเลื่อยตรงกับสลักร้อยทั้ง  2  ข้าง  ของโครงเลื่อย  จากนั้นปรับตัวดึงใบเลื่อยให้พอตึง ๆ แล้วปรับขยับใบเลื่อยให้ตั้งฉากโดยการใช้ค้อนเคาะเบา ๆ ให้ใบเลื่อยแนบสนิทกับตัวดึงใบเลื่อย  จึงขันให้ตึงอีกครั้งด้วยแรงมือ
 1.9    การจับยึดชิ้นงานสำหรับงานเลื่อย 
การจับงานที่ผิดวิธีในกรณีชิ้นงานสั้น  ปากของปากกาไม่สามารถจะจับชิ้นงานให้แน่นได้  แรงกดของเกลียวจะดันชิ้นงานหลุด  ถ้าฝืนเลื่อย  ใบเลื่อยจะหัก  การจับงานที่ถูกวิธี  ปากของปากกาจะต้องกดขนานกันทั้ง  2  ปาก  การจับชิ้นงานสั้น  ใช้เหล็กหนุนช่วยในการจับ  ดันปากของปากกาให้ขนาน  กดชิ้นงานแน่นเมื่อขันเกลียวจะทำให้ชิ้นงานไม่หลุด
 1.10       การวัดตัดชิ้นงาน
การเลื่อยชิ้นงานขนาดเดียวกันจำนวนมาก ๆ ถ้าตั้งวัดงานทุกครั้งที่ทำการตัด  จะใช้เวลามากและขนาดของชิ้นงานจะไม่เท่ากัน  มีโอกาสคลาดเคลื่อนได้  วิธีการแก้ไขในการตัดชิ้นงานขนาดเดียวกันจำนวนมาก ๆ โดยการตั้งวัดระยะงานชิ้นแรก  แล้วใช้แขนตั้งระยะช่วยในการเลื่อยชิ้นงานชิ้นต่อไป
 1.11       การใช้แขนตั้งระยะ
แขนตั้งระยะ  ช่วยในการวัดชิ้นงานที่ต้องการตัดจำนวนมาก ๆ ให้ได้ขนาดเดียวกันทุกชิ้นแขนตั้งระยะสามารถปรับระยะได้  โดยการขันสกรูยึดให้แน่น  และมือหมุนขันแน่น  เมื่อปรับได้ที่แล้วต้องขันแน่นทั้ง  2  จุด  เพราะเมื่อดันชิ้นงานเข้ามาตัดใหม่จะเกิดการกระแทก  อาจทำให้ขนาดเปลี่ยนแปลงไปได้
 ข้อควรจำ  ไม่ดันชิ้นงานกระแทกเขนตั้งระยะแรงจนเกินไป  จะทำให้ขนาดความยาวชิ้นงานที่ตัดมีขนาดความยาวเคลื่อนไปจากที่ตั้งระยะไว้
 1.12       ขั้นตอนการใช้เครื่องเลื่อยชัก  เครื่องเลื่อยชักมีขั้นตอนการใช้ดังนี้
1.12.1      ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องเลื่อยชักและอุปกรณ์
1.12.2      ตรวจความพร้อมสภาพร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน
1.12.3      เปิดสวิตซ์เมนใหญ่ให้กระแสไฟฟ้าเข้าเครื่องเลื่อยชัก
1.12.4      ยกโครงเลื่อยค้างไว้ก่อนตัด
1.12.5      บีบจับชิ้นงานด้วยปากกาจับงานไม่ต้องแน่น  ให้สามารถเลื่อนปรับชิ้นงานได้
1.12.6      ปรับโครงเลื่อยลงให้ฟันของใบเลื่อยห่างจากชิ้นงานประมาณ  10  มิลลิเมตร
1.12.7      ตั้งระยะความยาวชิ้นงานโดยใช้บรรทัดเหล็กวัดขนาด
1.12.8      บีบจับชิ้นงานด้วยปากกาจับงานให้แน่น
1.12.9      ปรับแขนตั้งระยะให้ยาวเท่ากับความยาวของชิ้นงาน
1.12.10   เปิดสวิตซ์เดินเครื่องเลื่อยชักทำงาน
1.12.11   ค่อย ๆ ปรับระบบป้อนตัดไฮดรอลิกให้โครงเลื่อยเลื่อนลงช้า ๆ
1.12.12   ปรับท่อน้ำหล่อเย็นให้น้ำฉีดตรงคลองเลื่อยเพื่อช่วยระบายความร้อน
1.12.13   คอยจนกว่าเลื่อยตัดชิ้นงานขาด
1.13       การบำรุงรักษาเครื่องเลื่อยชัก
เครื่องเลื่อยชักเป็นเครื่องจักรกลพื้นฐานที่มีความจำเป็นมาก  ดังนั้นเพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานจำเป็นจะต้องมีการบำรุงรักษาเครื่องดังต่อไปนี้
1.13.1      ก่อนใช้เครื่องเลื่อยชักทุกครั้งควรหยอดน้ำมันหล่อลื่นตรงบริเวณจุดที่เคลื่อนที่
1.13.2      หลังเลิกใช้งานทุกครั้งควรทำความสะอาด  และใช้ผ้าคลุมเครื่องป้องกันฝุ่นละออง
1.13.3      ควรเปลี่ยนน้ำหล่อเย็นทุก ๆ สัปดาห์
1.13.4      ตรวจสอบกระบอกสูบน้ำมันไฮดรอลิกส์ว่ารั่วซึมหรือไม่
1.13.5      ตรวจสอบ  สายพาน  มู่เล่  เฟืองทด  ปั๊มน้ำหล่อเย็นเพื่อให้ใช้งานได้ตลอด
 1.14       ความปลอดภัยในการใช้เครื่องเลื่อยชัก
เครื่องจักรทุกชนิดมีประโยชน์แต่ก็มีโทษมากเช่นกัน  ดังนั้นก่อนใช้งานทุกครั้งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเสมอ  การใช้เครื่องเลื่อยชักก็เช่นกันสามารถเกิดอันตรายได้  เพื่อความปลอดภัยจึงต้องรู้วิธีใช้ดังนี้
1.14.1      ก่อนใช้เครื่องเลื่อยชักทุกครั้งต้องตรวจสอบความพร้อมของเครื่องเสมอ
1.14.2      บีบปากกาจับชิ้นงานให้แน่นก่อนเปิดสวิตซ์เครื่องทำงาน
1.14.3      ห้ามตัดชิ้นงานที่มีความยาวน้อยกว่าปากของปากกาจับงาน  เพราะจะทำให้ใบเลื่อยหัก
1.14.4      เมื่อต้องการตัดชิ้นงานยาว ๆ ควรมีฐานรองรับงานมารองรับปลายชิ้นงานทุกครั้ง
1.14.5      ก่อนเปิดสวิทซ์เดินเครื่องเลื่อยชักต้องยกใบเลื่อยให้ห่างจากชิ้นงานประมาณ  10  มิลลิเมตร
1.14.6      การป้อนตัดด้วยระบบไฮดรอลิคมากเกินไปจะทำให้ใบเลื่อยหัก
1.14.7      เหล็กหล่อ  ทองเหลือง  ทองแดง  และอะลูมิเนียมควรหล่อเย็นให้ถูกประเภท
1.14.8      ไม่ควรก้มหน้าเข้าใกล้โครงเลื่อยชักขณะจะเปิดสวิตซ์เดินเครื่องเลื่อยทำงาน
1.14.9      ขณะเครื่องเลื่อยชักกำลังตัดชิ้นงานห้ามหมุนถอยปากกาจับงานออกเป็นอันขาด
1.14.10   เพื่อความปลอดภัยให้คิดก่อนทำเสมอ
 2.       เครื่องเลื่อยสายพานแนวนอน  (Horizontal  Band  Saw)
เป็นเครื่องเลื่อยที่มีใบเลื่อยยาวติดต่อกันเป็นวงกลม  การเคลื่อนที่ของใบเลื่อย  มีลักษณะการส่งกำลังด้วยสายพาน  คือมีล้อขับและล้อตาม  ทำให้คมตัดของใบเลื่อยสามารถเลื่อยตัดงานได้ตลอด  เนื่องตลอดทั้งใบ  การป้อนตัดงานใช้ระบบไฮดรอลิกส์ควบคุมความตึงของใบเลื่อย  ปรับด้วยมือหมุน  หรือใช้ไฮดรอลิกปรับระยะห่างของล้อ  มีโครงสร้างแข็งแรง  ตัวเครื่องสามารถติดตั้งได้กับพื้นโรงงาน
3.       เครื่องเลื่อยสายพานแนวตั้ง  (Vertical  Band  Saw)
เครื่องเลื่อยสายพานแนวตั้ง  เป็นเครื่องเลื่อยที่มีใบเลื่อยเป็นแบบสายพานในแนวตั้ง  ซึ่งจะหมุนตัดชิ้นงานอย่างต่อเนื่อง  ใช้ตัดงานเบาได้ทุกลักษณะ  เช่น  ตัดเหล็กแบน  หรือเหล็กบางให้ขาด  หรือตัดเป็นรูปทรงต่าง ๆ ซึ่งเครื่องเลื่อยชนิดอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้
   เครื่องเลื่อยสายพานแตกต่างจากเครื่องเลื่อยชัก  ที่สามารถตัดชิ้นงานเป็นแบบต่อเนื่อง  ในขณะที่เครื่องเลื่อยชักทำหน้าที่ตัดงานเฉพาะช่วงชักตัดเท่านั้น  และยังใช้ประโยชน์ของใบเลื่อยในช่วงจำกัดอีกด้วย  คือ จะใช้ประโยชน์เฉพาะส่วนกลางของใบเลื่อยเท่านั้น
ใบเลื่อยสายพานจะมีความหนาน้อยกว่าใบเลื่อยชนิดอื่น ๆ จึงทำให้มีการสูญเสียวัสดุน้อยกว่า
เลื่อยสายพานแนวตั้ง  ให้ลักษณะเด่นในการทำงานหลายประการ  คล้ายกับงานฉลุด้วยมือ  ซึ่งจะไม่พบในเครื่องเลื่อยโลหะชนิดอื่น ๆ เช่น  งานตัดชิ้นงานเป็นรูปทรงเรขาคณิต
4.       เครื่องเลื่อยวงเดือน  (Circular  Saw or Radius Saw)
เครื่องเลื่อยวงเดือน  เป็นเครื่องเลื่อยที่ใบเลื่อยเป็นวงกลม  มีฟันรอบ ๆ  วง  สามารถตัดชิ้นงานได้อย่างต่อเนื่อง  มักเป็นชิ้นงานบาง ๆ เช่น  อะลูมิเนียม สามารถตัดงานได้ทั้งลักษณะตรงและเอียงเป็นมุม
 คามปลอดภัยในการใช้เลื่อยวงเดือน
-            เลื่อยวงเดือนเกิดอันตรายได้ง่ายมาก  ให้ใส่ฝาครอบใบเลื่อยเสมอ
-            อย่าใจร้อน  ออกแรงควบคุมตัดเกินพิกัด
-            ให้ระวังก่อนชิ้นงานขาด ใช้แรงควบคุมตัดเพียงเล็กน้อย  เพราะขาดง่าย
-            ให้หมั่นตรวจการแต่กร้าวของใบเลื่อย  หรือการยึดติดคมเลื่อย
การหล่อเย็นชิ้นงานขณะตัดเฉือนโลหะ
งานตัดกลึงโลหะมักใช้ใบมีดในการเจาะ  เซาะ  เฉือนเนื้อโลหะ  หรือใช้หินขัดในการเจียร์เพื่อให้ชิ้นงานนั้นได้รูปร่างหรือขนาดตามที่ต้องการ  ในขณะที่การเจาะเซาะหรือเฉือนหรือเจียร์นั้น  ความร้อนจะเกิดขึ้นสูงมาก  โดยอาจสูงถึง  7000C  หรือสูงกว่า  ซึ่งความร้อนี้เกิดจากการเสียดสี  ระหว่างใบมีดกับชิ้นงานและจากการเปลี่ยนรูปของเนื้อโลหะ  (Deformation)  หากความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้รับการระบายออกโดยเร็วก็จะเกิดการสะสมทำให้ใบมีดและชิ้นงานร้อนจัดใบมีดจะสูญเสียความแข็ง  และสึกหรอได้  ในที่สุดส่วนชิ้นงานอาจบิดเบี้ยวทำให้ไม่ได้รูปร่างหรือขนาดตามที่ต้องการและอาจเกิดการหลอมติดของเศษโลหะที่บริเวณปลายใบมีด  ซึ่งเรียกว่าเกิด  Built  Up  Edge  หรือเรียกโดยย่อว่า  BUE  ทำให้ใบมีดสึกเร็วและอาจถึงขั้นแตกหักได้
 หน้าที่ของน้ำมันหล่อเย็น
น้ำมันหล่อเย็นมีหน้าที่หลัก  4  ประการ  คือ
1.       ระบายความร้อน
น้ำมันตัดกลึงโลหะมีหน้าที่ระบายความร้อนออกจากบริเวณใบมีดและชิ้นงานเพื่อไม่ให้ใบมีดสูญเสียความแข็งหรืออ่อนตัว  อันเนื่องมาจากความร้อน  ป้องกันไม่ให้เกิดการหลอมติดของเศษโลหะที่ปลายใบมีด  (BUE)  ทำให้สามารถทำงานตัดกลึงได้เร็วชิ้นงานได้ขนาดและคุณภาพผิดตามต้องการ
2.       หล่อลื่นลดแรงเสียดทาน
น้ำมันตัดกลึงโลหะทำหน้าที่หล่อลื่นลดแรงเสียทานระหว่าง  ระหว่างชิ้นงานกับใบมีด รวมทั้งเศษโลหะที่เคลื่อนที่ผ่านหน้าใบมีด  การตัดกลึงใช้กำลังน้อยลง  ลดการสึกหรอของใบมีดช่วยป้องกันการเกิดปัญหา  BUE
3.       ซะล้างและพาเศษโลหะ
น้ำมันตัดกลึงโลหะทำหน้าที่ในการชะล้างและพาเศษโลหะที่เกิดจากการตัดเฉือนออกไปจากบริเวณตัดเฉือน  และชิ้นงาน
4.       ป้องกันสนิม
น้ำมันตัดกลึงโลหะทำหน้าที่ป้องกันสนิม  ให้แก่ชิ้นงานที่ถูกตัดเฉือนใหม่  ซึ่งผิวโลหะส่วนนี้มักไวต่อการเกิดสนิมมากและยังทำหน้าที่ป้องกันสนิม ให้แก่เครื่องจักรและรางแท่น  (Slideways)  ด้วย
 น้ำมันหล่อเย็น
น้ำมันหล่อเย็น  หรือในภาษาอังกฤษว่า  “Water  Emulsifiable  Cutting  Fluid”  จะผสมน้ำใช้งานที่อัตราส่วนผสม  แตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของน้ำมันหล่อเย็นหรือตามความต้องการใช้งาน  โดยปกติจะผสมใช้งานยอู่ในช่วง  2%  ถึง 10%  ในน้ำ  ซึ่งนิยมแบ่งน้ำมันหล่อเย็นออกเป็น  3  ประเภทตาม  %  สัดส่วนผสมของน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานประเภทน้ำมันแร่ในผลิตภัณฑ์ก่อนผสมน้ำ  คือ
1.       น้ำมันสบู่
น้ำมันหล่อเย็นประเภทน้ำมันสบู่  หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า  Soluble  Oil  มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ  น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานประเภทน้ำมันแร่  (Mineral  Oil)  กับสาร  Emulsifier  ซึ่งทำหน้าที่ให้น้ำมันแร่สามารถกระจายและอยู่ตัวได้ในน้ำ  โดยมีสัดส่วนผสมของน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานประเภทน้ำมันแร่ในผลิตภัณฑ์ก่อนผสมน้ำประมาณ  75%  หรือมากกว่า  เมื่อผสมน้ำแล้วจะมีสีขาวคล้ายน้ำนม  จึงมักถูกเรียกอีกว่าเป็นน้ำมันหล่อเย็นประเภท  น้ำนม  หรือ  “Milky”  ทั้งนี้เพราะน้ำมันสบู่มี  %  สัดส่วนผสมของน้ำมันแร่อยู่สูงอนุภาคของน้ำมันแร่ที่กระจายอยู่ในน้ำ  จึงมีขนาดใหญ่เกิดการทึบแสง  และมองเห็นเป็นสีขาว
น้ำมันหล่อเย็นชนิดน้ำมันสบู่มีข้อดีที่เด่นชัด  คือ  ราคาต่อลิตไม่สูง  และใช้งานได้กับงานทั่วไปที่ไม่หนัก  หรือไม่มีความต้องการพิเศษ  แต่ข้อเสียโดยทั่วไป  คือการอยู่ตัวในน้ำ  (Stability)  ไม่ค่อยดี  และมีอายุการใช้งานสั้นจนถึงอาจเกิดการหนิมได้ง่าย
2.       น้ำมันสังเคราะห์
น้ำมันหล่อเย็นชนิดน้ำมันสังเคราห์หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า  “Synthetic  Fluid”  นี้ผลิตจากน้ำมันพื้นฐานหรือสารเคมีที่มาจากการสังเคราะห์ทั้งหมด  โดยที่ไม่มีสัดส่วนของน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานประเภทน้ำมันแร่  ผสมอยู่เลยมักนิยมใช้สำหรับงานเจียร์คุณภาพสูง  โดยใช้งานที่อัตราส่วนผสมน้ำขั้นต่ำประมาณ  2% หรืออัตราส่วนน้ำมันต่อน้ำ  1  ต่อ 49 ทั้งนี้  เพราะลักษณะงานเจียร์ต้องการการระบายความร้อนเป็นสำคัญ  และไม่ต้องการคุณสมบัติการหล่อลื่นมากนัก  การที่ไม่มีน้ำมันแร่อยู่เลย  ทำให้หน้าหินไม่บอดง่ายจากการที่เศษผงโลหะขนาดเล็กที่เกิดจากการเจียร์เกาะติดอุดหน้าหิน
ข้อพึงระวังจากการใช้นัมันหล่อเย็นชนิดสังเคราะห์โดยทั่วไป  คือ  ปัญหาเรื่องสนิมที่มักเกิดขึ้นกับเครื่องจักร  และร่างแทน  (Slideways)  โดยเฉพาะน้ำมันในอัตราส่วนที่สูงมาก  เกิดการสิ้นเปลือง  เมื่อมีการหยุดเครื่อง  หรือหากไม่เกิดสนิมก็อาจต้องผสม
3.       น้ำมันกึ่งสังเคราะห์
น้ำมันหล่อเย็นประเภทกึ่งสังเคราะห์จะมีน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานผสมกันระหว่างน้ำมันสังเคราะห์  และน้ำมันแร่หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า  “Semi  Synthetic  Fluld”  โดยมีสัดส่วนผสมของน้ำมันแร่อยู่ในช่วงระหว่าง  20%  ถึง  60%  ทั้ง นี้เพื่อผสมผสานคุณสมบัติด้านการหล่อลื่นที่ดีของน้ำมันแร่กับคุณสมบัติ พิเศษที่ต้องากรของน้ำมันสังเคราะห์ให้เหมาะกับความต้องการของการใช้งาน
น้ำมันชนิดกึ่งสังเคราะห์โดยทั่วไปเมื่อผสมน้ำจะมีสีขุ่นไม่ทึบแสง  (Translucent)  เพราะมีปริมาณน้ำมันแร่ต่ำกว่าน้ำมันสบู่อนุภาคน้ำมันที่กระจายในน้ำจึงมีขนาดเล็กกว่า  ยิ่งไปกว่านั้นปริมาณสาร  Emulsifier 
ที่ต้องการก็มีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันสบู่  น้ำมันหล่อเย็นชนิดกึ่งสังเคราะห์โดยทั่วไปจึงมีคุณสมบัติต้านทานแบคทีเรียในเบื้องต้นดีกว่า 




ขาย เครื่องจักรกล มือสอง เครื่องกลึง เครื่องcnc เครื่องมิลลิ่ง เครื่องกระทุ้ง เครื่องไวร์คัท เครื่องพับเหล็ก เครื่องรีดยาง เครื่องสับยาง
รับ งานไวร์คัท ชิ้นส่วนอะไหล่ ตามต้องการ รับตัดชิ้นส่วนอะไหล่ เหล็ก อลูมิเนียม ทองเหลือง ทองแดง รับพ่นทรายกันสนิมงานต่างๆตามต้องการ รับตัดโลหะด้วยเครื่องไวร์คัท ตามตัวอย่าง/ตามแบบที่ต้องการ
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 088-202-0410,038-942-501

Related Articels

Copyright © 2011 บริษัท เอเซียเกียร์ริ่ง จำกัด รับสร้าง ผลิตและจำหน่าย เครื่องรีดยาง เครื่องรีดยางพารา | รายละเอียดเพิ่มเติมโทร 088-202-0410